(Review) 8 อายพาเลทที่ซิสว่าดี

สวัสดีค่า ขึ้นปีใหม่พร้อมกับประเดิมกระทู้แรกของพวกเราเหล่าซิส

การทำรีวิวของพวกเราจะทำการเปรียบเทียบให้เห็นค่ะว่า อายแชโดว์แต่ละสี เมื่ออยู่บนผิวขาวและผิวสองสี จะต่างกันมั้ย ชัด

จากการทำกระทู้นี้เราพบว่าเรายังมีข้อบกพร่องอีกเยอะค่ะ555  แต่สัญญาว่า ครั้งหน้าเราจะปรับปรุงให้ดีขึ้น

ฝากเนื้อฝากตัวนะคะ :) 

WARNING!! >> รูปเยอะนะคะ 

เริ่มกันเลยเนาะ...

Tarte - Tartelette Tease

ราคาประมาณ1,300 บาท 

     พาเลตต์จิ๋วจากพี่ทาร์ต พวกเราลงความเห็นว่าเป็นพาเลตต์ที่ใช้ง่ายโทนสีของนางมาสายธรรมชาติ 4 สี เป็นเนื้อ matte มีแค่ crush กับ firstkiss ที่เป็นเนื้อชิมเมอร์อีกอย่างคือพกพาง่ายด้วย เหมาะกับการเดินทางไปทริปไม่ต้องหวั่นใจว่าหน้าจะซีดไม่สู้กล้อง

ข้อเสียคือแพคเกจจิ้งเป็นกระดาษแต่ก็ไม่ได้ก๊องแก๊งขนาดนั้น มันเป็นแม่เหล็ก เปิดปิดได้ดี เพียงแต่ว่า บางคนที่อาจจะเปิดตลับจนสุดบ่อยๆตรงกลางที่เป็นรอยพับอาจจะขาดได้ แต่แบบ...คงไม่มีใครเปิดสุดขนาดนั้นป่ะ?อีกอย่างคือไม่มีแปรง บางคนติดไง แต่ด้วยความที่เนื้อสีมันชัดอ่ะ นิ้วป้ายก็รอดนะ อืมมมมก็เรียกว่าข้อเสียได้ไม่เต็มปากนะ 5555555

“ทนป่ะ?”

“ทนๆ เราแต่งหน้าเองวันซ้อมรับปริญญาอ่ะแกมีแต่คนชมว่าจ้างช่างที่ไหนแต่งอ่ะ ก็ได้แต่ตอบไปยิ้มๆ ว่า อ่อ แต่งเองค่ะ”

“...”

Visee 

ราคาไม่เกิน 500 

     แบรนด์นี้มีให้เลือกหลายแบบ หลายโทนสี แล้วแพ็คเกจก็สวยดีมีความเจ้าหญิงนิดๆ เนื้ออายแชโดว์เป็นชิมเมอร์ซะส่วนใหญ่ สีสวยนะ วิ้งสวยตามสายญี่ปุ่นแล้วแบรนด์เขาคิดมาให้แล้วไง 4 สี ชีวิตง่าย สีอ่อน กลาง เข้ม ไล่สีไปจบปิ้ง  

ส่วนข้อเสียตัวโตๆเลยนะ ไม่มีขายในไทยไปเจแปนเท่านั้นค่ะ ยกเว้นว่ามีร้านพรีอ่ะนะ อีกอย่างไม่มีกระจกแต่ทดแทนด้วยแปรงอันเล็กจุ๋มจิ๋มเหมือน kate แปรงก็โอเค ใช้ได้อ่ะ

“เราไม่โอเคกับสีชมพู สีชมพูไม่โอเคกับผิวเราแต่ผิวขาวอ่ะเราว่าแต่งสวย”

“แพคเกจอาจจะดูก๊องแก๊งนิดนึงแต่โดยรวมก็โอเค เออ เพราะยังไม่เคยทำตกไง”

“ลองตกสิ...ลองตอนนี้เลย เราอยากรู้”

Sleek- Ultra Mattes V1 Brights

ราคาประมาณ 500 บาทในไทย (ใน Eveandboy,Watsons)

แค่เห็นสีก็ขนลุกเกรียวกราว...พวกเราเห็นตรงกันว่า มันเหมาะกับคนที่ชอบแต่งหน้าเก๋ๆ แฟนซีๆ หน่อยหรือสำหรับคนที่อยากลองเล่นสีสันบ้าง แต่ไม่อยากลงทุนซื้อของแบรนด์อย่าง Kat Von D หรือUrban decay ไรงี้ตัวที่เป็นสีสดๆอ่ะ เพราะนั่นก็หลายตังอยู่ เราว่าอันนี้เนื้อสีก็โอเค แต่...มันก็มีบางสีเหมือนกันที่ให้ผ่านไม่ได้จริงๆนั่นก็คือ สีม่วงค่ะซิส!!ตอนสวอชสีนี่หมดความอดทนกับมันมากนะทั้งเอานิ้วจิกเอานิ้วถู สุดท้าย เอาเล็บฝนให้เป็นผงๆ ก่อนค่ะ ถึงเอามาปาดได้ฮือออออออออ T^T ส่วนแพคเกจจิ้งก็เปื้อนง่ายนิดนึงแต่ชอบตรงกระจกใหญ่สะใจดี

“ขอใช้คำว่าห่วยกับสีม่วง”

Sleek - Oh So Special

ราคาประมาณ 500 บาทในไทย (ใน Eveandboy,Watsons)

    ต่อกันที่อีกพาเลตต์นึงจากบ้านสลีคเหมือนกัน อันนี้มาโทนธรรมชาติ งาน everyday look อันนี้แนะนำมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มแต่งหน้าเพราะโทนสีครบมาก ชมพู น้ำตาล เทาชิมเมอร์ ดำ แล้วเนื้อดีเลยละสีส่วนใหญ่เป็นเนื้อแมตต์ มี organza, gateau, gift basket,glitz และcelebrate (สีนี้สวยนะ ชอบมากกก สีมันออกม่วงดำๆ ชิมเมอร์ชมพูไรงี้แต่ก็หาโอกาสแต่งยากเหมือนกัน ใครชอบแต่งตาเข้มๆ นี่เหมาะเลย) ข้อเสียของอายโดว์แบรนด์นี้คือมีfall out บ้างเล็กน้อย ต้องระวัง จะใช้ต้องเคาะๆ หน่อย 

“ส่วนตัวชอบสีที่เป็นชิมเมอร์ เนื้อดี วิ้งสวย อย่างน้ำตาลชิมเมอร์นี่ใช้ประจำสังเกตหลุมนั่นสิ”

“เป็นพาเลตต์แรกที่ใช้จนฮิตแพน ปรบมือสิคะ”

“ทรงแขนแย่มาก คราวหน้าจะไม่ตะแคงแขนถ่ายอีกแล้ว”

Urban Decay – Naked 2

ราคา2,250 บาท (ที่ Sephora) 

ถ้าเป็นคนที่แต่งหน้าทุกวัน มันจะมีสีที่ใช้ได้บ่อยๆทาออกงานก็ได้ สีเยอะมาก มีทั้งสีเข้ม สีอ่อน แมตต์ ชิมเมอร์ แล้วพาเลตต์นี้เป็นโทนน้ำตาลเทาเป็นโทนที่เข้ากับทุกสีผิว เนื้อสีชัด บางสีมี fallout บ้างแล้วดีตรงที่มีแปรงให้ด้วยนะ แปรงนิ่มด้วย ประทับใจมาก สิ่งที่เราไม่ชอบใน naked 2 นะคือ ราคา มันค่อนข้างสูงทีเดียว

“เราว่าโทนน้ำตาลเทาแต่งง่ายกว่าน้ำตาลแดงนะ”

“แต่ด้วยความที่สีเยอะมาก แล้วเฉดใกล้กันอาจทำให้คนที่ไม่ได้เอามาใช้บ่อยๆ หรือเพิ่งซื้อ เปิดมาอาจแบบ...แม่งใช้สีไหนดีวะ”

“ในฐานะที่มีNaked 4 พาเลตต์ แปรงของ Naked 2 ดีที่สุด แปรงของ 3 กับ 1 อ่ะ เฉยๆ”

“แปรง naked 3 มันดูบานๆ แปรงสโมคกี้มันจะดูกลมๆ แต่ของ 2 มันจะมีด้านนึงที่มันใช้แท๊บๆได้ อีกด้านก็เอาไว้เบลนด์ได้”

Zoeva – Cocoa Blend

ราคา804 บาท (ที่ Sephora Online )

     สีสวยมากกกกก มีความใกล้เคียงกับ Naked นะ แต่ราคาเบากว่า เนื้อสีดีมาก เอานิ้วแตะนิดเดียวสีก็ติดแล้วอ่ะแต่สีเนื้อแมตต์บางสี พอสวอชปาดไปหนึ่งที มันก็ไม่ได้เนียนเสมอกันอ่ะ แต่คือสีมันชัดดีเมื่อเทียบกับราคามันโอเคมาก แต่คนที่ชอบพาเลตต์ที่มันมีแปรง มีกระจก ต้องทำใจนะเพราะมันไม่มี ส่วนแพคเกจจิ้งเป็นกระดาษนะ แต่ว่ามีแม่เหล็กนะ เปิดปิดง่าย

“พอเทียบกับ Naked นะ อันนั้นมี 12 สี อันนี้มี 10 สี แต่ราคาก็ถูกกว่ากันเยอะ ถึงจะไม่มีแปรง แต่เราเชื่อว่าทุกคนมีแปรงแยกอยู่แล้วอ่ะ”

“โทนสีเป็นน้ำตาล ส้มอิฐ แดงๆนิดๆ ไรงี้ กำลังฮิตอ่ะ”

Jill Stuart – Ribbon CoutureEyes ‘Fur Beige’

ราคาประมาณ1,700 บาท 

     ที่ซื้ออันนี้เนี่ย เอาจริง...ซื้อเพราะแพคเกจและตอนนั้นมันลด และกำลังตามหาพาเลตต์ที่พกใส่กระเป๋าทุกวันได้ เผื่อวันไหนรีบออกจากบ้านแต่มันจำเป็นจะต้องแต่ง มันจะได้มีอะไรใช้ เพราะจะให้พกnaked ทุกวันมันก็ไม่ได้ ก็เลยไปเจออันนี้ตอนลดราคาอยู่ แล้วเป้าหมายของอันนี้คือหาพาเลตต์ที่สีใกล้เคียงกับNaked 2 ให้มากที่สุด แต่พอสวอชเทียบกันแล้วอ่ะจิลฯ คุณภาพต่ำกว่ามาก ทั้งที่พาเลตต์อันแค่นี้ แต่ราคาแบบใกล้เคียงกันเลยนะแต่สีน้อยกว่า จิลฯ เน้นชิมเมอร์แบบญี่ปุ่น แต่พอเทียบกับ Visee ที่สายญี่ปุ่นเหมือนกัน เนื้อสีของวีเซ่ก็ยังชัดกว่าในราคาที่ถูกกว่าหรือถ้าอยากลองจิลฯ ก็ต้องลองสีอื่น เพราะอันนี้สีมันค่อนข้างอ่อน มีสีเข้มอยู่สีเดียวซึ่งสีนั้นเนื้อมันโอเค 

“สำหรับเรา ไม่ถูกดึงดูดด้วยความหวานขนาดนี้”

“สีที่ชัดที่สุดในนี้ คือไฮไลต์ 555”

“กับสีน้ำตาลเข้ม”

Tarte – Rainforest After Dark

ราคาประมาณ1,400 บาท 

แพคเกจเป็นลายไม้ แล้วก็มีงู ตางูเป็นม่วงๆ ในกล่องก็จะมีคู่มือว่าแต่งตายังไงแต่ไม่ต้องแต่งตามมันก็ได้ เอาตามที่ตัวเองถนัดเถอะ ขนาดตลับมันพอดีมือเลยนะ แล้วกระจกใหญ่ดีมากที่เกลียดอย่างนึงคือ ทำไมไม่เขียนชื่อสีไว้ตรงตลับเลย จะไว้ตรงแผ่นพลาสติกทำมายยยยรู้สึกทิ้งไม่ได้

“สีบรอนเซอร์กลายเป็นอายแชโดว์ของเราอ่ะ”

     หมดแล้วค่าหวังว่าการรีวิวของเราจะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของทุกคนนะคะ อ้อ…นี่แนะนำเพิ่มเติมนะทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้ออายพาเลตต์ ลองสวอชดูก่อน ให้ดูว่าสีไหนมันผสมกันได้บ้างใช้สีไหนทาเป็นเบส ใช้สีไหนคัดเบ้า เข้ากับผิวเราไหมเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่รู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจซื้อ