VERRASKIN Anti-Melasma Concentrate Serum | ไอเทมลดฝ้าคู่ใจของมนุษย์แม่กว่า 6 เดือน
Room : Review
wanvismo | ผิวผสม | 30-34 Yrs | 9 รีวิว 21/04/2021 09:46     


นับว่าเป็นครั้งแรกที่หม่าม้ามาปรึกษาเราเรื่องปัญหาผิวของท่าน ซึ่งต้องเท้าความให้ฟังก่อนว่าหม่าม้าของเราท่านเป็นคนที่ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องการประทินผิวเท่าไหร่นัก ต่างกับคนลูกอย่างเราคนละขั้วเลยหละ แต่ด้วยความที่ช่วงหลังมานี้เราค่อยๆ ตะล่อมท่านให้ใช้สกินแคร์ทีละชิ้นจนสุดท้ายท่านก็เริ่มเปิดใจและมาปรึกษาปัญหาผิวกับเรา ซึ่งปัญหาที่ท่านเป็นกังวลมากที่สุดคือเรื่อง "ฝ้า" อย่างที่บอกไปแล้วว่าท่านไม่ได้ใช้สกินแคร์ใดเลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปัญหาผิวต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ไม่เว้นแม้แต่เรื่องฝ้า


ประจวบเหมาะกับที่เราได้ VERRASKIN Anti-Melasma Concentrate Serum มาพอดีและได้ลองดูส่วนผสมแล้วค่อนข้างน่าสนใจ เพราะมีสารออกฤทธิ์ที่ยับยั้งกลไกการเกิดฝ้าได้หลายรูปแบบ จึงให้หม่าม้าลองใช้ร่วมกับการทากันแดด ซึ่งนี่ก็ผ่านระยะเวลามาราวๆ 6 เดือนเห็นจะได้ เราเลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วในการนำมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกัน...


ฝ้าคืออะไร...?


ก่อนที่เราจะวาร์ปไปดูผลลัพธ์เราอยากอธิบายเรื่อง "ฝ้า" ให้เพื่อนๆ เข้าใจตรงกันก่อนว่าที่จริงแล้วฝ้าคืออะไร และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งจากที่เราหาข้อมูลมาพบว่าแท้จริงแล้วฝ้าเป็นปัญหาผิวรูปแบบหนึ่งที่เกิดจากการที่เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนังทำงานผิดปกติ โดยส่วนใหญ่นั้นสาเหตุมาจากการที่ได้รับรังสี UV ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน 


แต่เมื่อเราหาข้อมูลลึกขึ้นก็พบว่าปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดฝ้านั้นมีหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาบางประเภท การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การตั้งครรภ์ พันธุกรรม แม้กระทั่งแสงสีฟ้าหรือ "Blue Light" ที่เราได้รับแทบจะตลอดเวลาผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ฯลฯ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ทั้งสิ้น พอเรายิ่งหาข้อมูลก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องฝ้าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วหละ แต่ในเมื่อหม่าม้ามีฝ้าเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ภายใต้เงื่อนไขว่าท่านไม่อยากไปพบแพทย์ผิวหนังนั่นคือการใช้สกินแคร์นั่นเองขอรับ


VERRASKIN Anti - Melasma Concentrate Serum


เราเลยให้ท่านลองทา VERRASKIN Anti Melasma Concentrate Serum ที่ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดเลือนฝ้าเก่า และช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าใหม่ซึ่งผสาน 7 คุณสมบัติทั้งการดูแลปัญหาฝ้าและบำรุงผิวได้ในหลอดเดียวไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดเลือนฝ้า จุดด่างดำและรอยสิว ป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ ลดความหมองคล้ำ ปรับสีผิวให้ขาวกระจ่างใส ลดการอักเสบและระคายเคืองบนผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เพิ่มความกระชับให้ผิว ลดริ้วรอยแห่งวัย บำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ลดการแห้งกร้าน


เนื้อสัมผัสในรูปแบบเจล-ครีม ซึมลงผิวได้ค่อนข้างง่าย และไม่ทิ้งความรู้สึกเหนอะหนะเอาไว้บนผิว ทำให้หม่าม้าไม่บ่นว่าทาแล้วหนักผิวจัง ลูกอย่างเราก็เป็นปลื้มสิครับงานนี้


ในด้านของกลิ่นต้องยอมรับว่ามีส่วนผสมของน้ำหอม แต่จากที่หม่าม้าเราใช้มาอย่างตลอด 6 เดือนก็ไม่พบอาการแพ้/ระคายเคืองแต่อย่างใดฮะ


บรรจุภัณฑ์ในรูปแบบหลอดพลาสติกที่ส่วนตัวแล้วเราว่าใช้งานง่ายดี ที่สำคัญคือไม่ต้องกังวลว่าท่านจะทำตกแตกด้วยแหละ (ไม่ได้หรอกช่วงนี้เงินทองหายาก ฮ่าๆ)


ในแง่ของ Active Ingredients ทางแบรนด์ใส่สารออกฤทธิ์ที่น่าจับตามองในตอนนี้อย่าง Tranexamic acid มาถึง 3% ซึ่งถือว่าเป็น Maximun dose แล้วในกลุ่มเครื่องสำอางค์ ซึ่งมีกลไกในการยับยั้งพลาสมินในเลือดทำให้การอักเสบในผิวที่เกิดจากรังสี UV ลดลง ส่งผลให้การส่งสัญญาณไปกระตุ้นการสร้าง melanin น้อยลงด้วย ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับ Glycyrrhiza Glabra Root Extract หรือ Licorice Extract ที่ช่วยขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ในการสร้าง melanin จึงเป็นคอมโบที่ซัพพอร์ตซึ่งกันและกันในการลดผลกระทบจากรังสี UV ที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสี รวมถึงช่วยลดการอักเสบในชั้นผิว ลดรอยแดง-รอยดำ ลดการเกิดฝ้าและช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสได้ดีมากทีเดียวหละฮะ


นอกจากนี้ยังมี Sodium Ascorbyl Phosphate อนุพันธ์วิตามินซีที่จะถูกแปลงสภาพเป็น ascorbic acid ด้วยเอ็นไซม์ในผิว ซึ่งอย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าวิตามินซีเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดผลกระทบจากรังสี UV แต่ความโหดยังไม่จบแค่นี้เพราะทางแบรนด์ใส่ Tocopheryl Acetate หรือวิตามินอีที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้แล้ว ยังช่วยให้วิตามินซีที่ Oxidized ไปแล้วเปลี่ยนกลับมาเป็น L-ascorbic acid เพื่อให้ผิวนำกลับมาใช้ได้ใหม่


ปิดท้ายด้วย TEGO® Pep 4-Even หรือ Tetrapeptide-30 นวัตกรรมใหม่จากเยอรมันที่ทางผู้ผลิตเคลมว่าสามารถชะลอการเกิดริ้วรอย ต่อต้านการอักเสบและยังเป็น whitening agent ที่สามารถลดปริมาณ tyrosine และการยับยั้งการกระตุ้นการทำงานของเมลาโนไซต์ทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น แถมยังมีผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2011 ว่าเมื่อใช้ Tetrapeptide-30 ร่วมกับ Sodium Ascorbyl Phosphate ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ส่งผลให้ประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทำให้ความเข้มของฝ้าจางลงได้ดีขึ้นด้วยหละครับ 


อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือทางแบรนด์ไม่ใส่สารกลุ่ม Exfoliate(สารผลัดเซลล์ผิว) และ Vitamin A หรือแม้แต่อนุพันธ์วิตามิน เอ ดังนั้นจึงลดโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองผิว และไม่มีความรู้สึกแสบๆ ยิบๆ ไม่ทำให้ผิวลอก ผิวบางที่เรามักเจอในผลิตภัณฑ์กลุ่ม Glycolic Acid รวมถึงไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ต้องใช้กันแดดนะ!!


จากที่เราให้หม่าม้าลองใช้ เวอร่าสกิน เมลาสม่า-คอนเซนเทรท เซรั่ม ร่วมกับการทากันแดดอย่างต่อเนื่องตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาพบว่า

 - โทนผิวโดยรวมค่อยๆ กระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนที่แล้ว

 - ความเข้มของฝ้าบริเวณโหนกแก้มดูจางลงพอสมควร แต่ก็ยังคงมีเหลือให้เห็นอยู่เป็นจุดเล็กๆ ตามภาพ (ซึ่งหากมองตามความเป็นจริงว่าการรักษาฝ้าโดยเฉพาะฝ้าที่เป็นมานานแล้วแบบนี้ด้วยสกินแคร์ ย่อมต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่มากพอสมควรเลยหละ)

 - ผิวนุ่มชุ่มชื้นมากขึ้น ความแห้งกร้านลดลง ส่งผลให้ริ้วรอยบางตำแหน่งที่เกิดจากการขาดความชุ่มชื้นดูตื้นขึ้น


นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว เพราะเราอยากให้เพื่อนๆ ทำความเข้าใจก่อนว่าหม่าม้าเราท่านไม่ได้ทาสกินแคร์ใดเลย แน่นอนว่าปัญหาผิวที่สะสมมาหลายสิบปีย่อมฝั่งรากลึก และยากต่อการแก้ไข แต่การดูแลตัวเองในระยะเวลาเพียงครึ่งปีโดยใช้สกินแคร์เพียงอย่างเดียว กลับทำให้ผิวดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนขนาดนี้ ก็ต้องชมทั้งแบรนด์ เวอร่าสกิน ที่คิดค้น Anti - Melasma Concentrate Serum ออกมาให้ผู้บริโภคอย่างเรา และก็ต้องขอบคุณความมีวินัยของหม่าม้าที่อดทนมาขนาดนี้ฮะ 


แต่อย่างที่เราบอกเสมอว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น Based-on สภาพผิว ไลฟ์สไตล์ การดูแลตัวเอง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ร่วมกันเป็นหลัก ดังนั้นผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ส่วนคำถามที่ว่าใช้แล้วจะแพ้ไหม จะอุดตันไหม สิวจะขึ้นหรือไม่นั้น เราไม่สามารถให้คำตอบได้เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแพ้/ระคายเคือง และก่อให้เกิดสิวของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นเราแนะนำว่าก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตาม ควรทดสอบอาการแพ้ที่บริเวณท้องแขน และลำคอก่อใช้ลงบนใบหน้านะขอรับ 




Comment (0)
Post Comment



- view all -

THE HIGHLIGHTER

- view all -